โรคไตอักเสบเรื้อรังและไตวาย
ไตสําคัญอย่างไร ต่อร่างกายมนุษย์?
คนปกติจะมีไต 2 ข้าง อยู่บริเวณบั้นเอวข้าง ๆ กระดูกสันหลัง ไม่มีรูปร่าง คล้ายถั่ว มีสีแดงเหมือนไตหมู ยาว 11 -12 เซนติเมตร ขนาดเท่ากำปั้นมือ น้ำหนักไตแต่ละข้างจะเท่ากับ 150 กรัม ไม่ได้รับเลือดจากหลอดเลือดแดงใหญ่ ซึ่งออกจากหัวใจ เมื่อเลือดไหลผ่านไตจะมีการกรองผ่านหน่วยไตเล็ก ๆ เรียกว่า Nephron (เนฟรอน) ซึ่งมีอยู่ข้างละ 1 ล้านหน่วย หน่วยไตเล็ก ๆ เหล่านี้มีหน้าที่ กรองของเสียและน้ำจากร่างกายผ่านท่อไตและขับเป็นน้ำปัสสาวะ ไดกรองเลือด วันละประมาณ 240 ลิตรต่อวัน และดูดกลับ 237.6 ลิตรต่อวัน เหลือ 2.4 ลิตร ขับออกเป็นน้ำปัสสาวะไต มีหน้าที่
1. กรองของเสียในเลือด ซึ่งเกิดจาก การเผาผลาญอาหารที่คนเรา รับประทาน และจากการทำงาน ของกล้ามเนื้อในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดของเสียที่เรียกว่า ยูเรีย และครีอะตินิน
2. ไตควบคุมสมดุลของน้ำ และแร่ธาตุ ต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น โซเดียม โปตัสเซียม ฟอสฟอรัส และ แคลเซียมให้อยู่ในระดับปกติ
3. ไตมีหน้าที่ขับสารพิษ และยาที่ได้รับออกจากร่างกาย 4. สร้างฮอร์โมนที่สำคัญในการผลิตเม็ดเลือดแดง สารที่ควบคุม ความดันโลหิต และวิตามินดี ซึ่งเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ไตเรื้อรังเป็นอย่างไร?
โรคไตเรื้อรัง หมายถึง โรคที่เกิดจากการที่ไตถูกทำลายช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง ใช้ระยะเวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปี แต่เป็นการทำลายอย่างถาวร ไม่สามารถ ฟื้นกลับมาทำงานได้ตามปกติอีก โรคที่ทำลายไตจนเป็นไตเรื้อรังที่พบบ่อยได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคไตอักเสบชนิดต่าง ๆ เมื่อเนื้อไตถูกทำลาย การทำงานก็เสื่อมหน้าที่ลง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น
• ความดันโลหิตสูง ซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ผอมลง
• ซึม สับสน จนบางครั้งเกิดอาการชัก
• กระดูกเปราะบางนอกจากนี้ โรคไตเรื้อรังยังทำให้เกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดแข็งตาม อวัยวะต่าง ๆ ได้ง่ายและเร็วขึ้นอีกด้วย เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นทีละเล็ก ละน้อย ทำให้ผู้เป็นโรคไตไม่ทันสังเกตอาการ จนกระทั่งหน้าที่ไตเสื่อมไปมากแล้ว อาการรุนแรงจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน ซึ่งนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ แต่ก็เป็นโรคไต เรื้อรังที่ใกล้ระยะสุดท้ายของโรคแล้ว ต้องใช้วิธีทำไตเทียม หรือปลูกถ่ายไตเพื่อ ช่วยรักษาผู้ป่วยและยืดชีวิตผู้ป่วยต่อไปได้
สาเหตุอะไรบ้าง ที่นำไป สู่การเกิดโรคไตเรื้อรัง ?
สาเหตุที่พบบ่อยของการเกิดโรคไตเรื้อรัง คือ
1. เบาหวาน
2. ความดันโลหิตสูง
3. ไตอักเสบ ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
4. โรคไตจากพันธุกรรม เช่น ถุงน้ำในไต
5. ไตอักเสบ ลูส หรือ เอส แอล อี ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในคนเอเชีย บางคนเรียกโรคภูมิแพ้เซลล์ตนเอง
6. นิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะอักเสบบ่อย ๆ จากการติดเชื้อ
7. โรคปวดข้อชนิดเกาต์
8. การได้รับยาแก้ปวดอย่างแรง ชื่อ NSAIDS (เอ็นเสด) เป็นระยะเวลานาน และปริมาณมากสะสมในร่างกายจนทำลายไตได้
9. เนื้องอกที่ไต
10. รูปร่างไตผิดรูปแต่กำเนิด
อาการเตือน หรือสังเกตได้อย่างไรว่า เป็นโรคไตเรื้อรังแล้ว?
ถ้าความรุนแรงของโรคเป็นระยะแรก ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการจะปรากฏเด่นชัด ขึ้นตามความเสื่อมของหน้าที่ไต ได้แก่
1. อ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง ไม่กระฉับกระเฉง ไม่สดชื่น
2. สมาธิในการทำงานลดลง
3. เบื่ออาหาร
4. นอนหลับยาก หรือหลับไม่สนิท
5. มีตะคริวในตอนกลางคืน
6. ใบหน้าหนังตาบวม หรือขาและหลังเท้าบวม
7. ผิวหนังแห้ง คัน มีรอยถลอกจากการเกา
8. ปัสสาวะมาก และบ่อยครั้งในเวลากลางคืน
มีใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคไต?
โรคไตเรื้อรังเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย แต่มีโอกาสสูงที่จะเกิดง่ายในผู้มี ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่
1. ผู้เป็นเบาหวาน
2. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
3. ผู้ที่มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไต
4. อายุมากกว่า 60 ปี
5. มีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่าปกติ
6. ผู้ที่เป็นโรคอื่น ๆ ที่สามารถเกิดพยาธิสภาพในไต เช่น โรค เอส แอล อี โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคหลอดเลือดอื่น ๆ
ถ้าพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคไต ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
ท่านควรปฏิบัติตัว ดังต่อไปนี้
1. วัดความดันโลหิตที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาล หรือคลินิก ที่สะดวก ติดต่อกันทุกสัปดาห์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม
2. ตรวจปัสสาวะ เพื่อหาโปรตีนหรือไข่ขาวที่รั่วในปัสสาวะและปรึกษา แพทย์เฉพาะทางโรคไต เพื่อการรักษาที่เหมาะสม
3. ตรวจเลือดหาค่าของเสีย เช่น คริอะตินิน ยูเรีย (BUN) ปัจจุบันการวัดผล รายงานหน้าที่ได้จะแสดงเป็นค่า GFR (Glomerular Filtration Rate) หรืออัตราการกรองของไตซึ่งให้ผลแม่นยำมากขึ้น
ถ้าเป็นผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็น โรคไตเรื้อรัง จะมีวิธีป้องกันอย่างไร?
ถ้าเป็นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงของการที่จะเป็นโรคไตเรื้อรังง่ายกว่าคนอื่น ท่านควร ปฏิบัติตัว ดังนี้
1. ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ โดยตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือดดูหน้าที่ไต อย่างน้อยปีละ 1 – 2 ครั้ง
2. ถ้าเป็นเบาหวานให้รักษาเบาหวานอย่างเคร่งครัด หรือถ้าเป็นความดัน โลหิตสูง ก็ควรควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติตามคำแนะนำ ของแพทย์
3. ออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพดี และไม่อ้วน
4. งดสูบบุหรี่
5. หลีกเลี่ยงการซื้อยาแก้ปวดรับประทานเอง หรือใช้ยาเอ็นเสด (NSAIDS) ติดต่อกันเป็นประจำ
6. รับประทานอาหารเนื้อสัตว์ให้น้อยลง
7. รับประทานอาหารรสไม่เค็มจัด หวานจัด มันจัด
8. หลีกเลี่ยงหรือลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์เป็นส่วนผสม