3. สำหรับผู้ที่เป็นไตอักเสบบางชนิด อาจต้องตรวจพยาธิสภาพของเนื้อไต โดยการตัดชิ้นเนื้อไตเล็ก ๆ มาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ และย้อมสีพิเศษ บางอย่าง เพื่อให้ทราบการวินิจฉัยโรคที่ชัดเจน และสามารถวางแผน การรักษาที่ถูกต้อง
ทําอย่างไรจะทราบว่าเป็นไตเรื้อรังระยะไหนแล้ว?
การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง อาศัยการทำงานของไตว่ามากน้อยเพียงไร โดยอาศัยระดับของ GFR ในการแบ่ง
ระยะของโรคไตเรื้อรัง GFR (ซีซีต่อนาที)
ระยะที่ 1 เป็นโรคไตเรื้อรังที่พบแต่ โปรตีนรั่วใน มากกว่าหรือเท่ากับ
ปัสสาวะ แต่การทำงานของไตยังเป็นปกติ 90 ซีซีต่อนาที
ระยะที่ 2 เป็นโรคไตเรื้อรังที่ไม่รุนแรง 60-89 ซีซีต่อนาที
ระยะที่ 3 เป็นโรคไตเรื้อรังปานกลาง 30-59 ซีซีต่อนาที
ระยะที่ 4 เป็นโรคไตเรื้อรังที่เป็นมาก 15-29 ซีซีต่อนาที
ระยะที่ 5 เรียกว่าไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายต้องใช้ น้อยกว่า 15 ซีซีต่อนาที
ไตเทียมช่วยประกอบการรักษา
ถ้าเป็นโรคไตเรื้อรังแล้วจะมีวิธีการรักษาอย่างไร?
การรักษาขึ้นกับระยะของโรคที่เป็น และโรคร่วมที่มีอยู่ ซึ่งการดูแลรักษา ประกอบด้วย
1. รักษาโรคดั้งเดิม หรือโรคร่วมที่เป็นอยู่ เช่น เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบ โรคเอส แอล อี โรคนิ่วในไต โรคเกาต์ ก็ต้องรักษาสาเหตุ ให้ดีที่สุด เพื่อให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดปกติเช่น น้ำตาลในเลือด ตอนเช้าอยู่ระหว่าง 80-120 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือค่าน้ำตาลสะสม ฮีโมโกลบิน HbAIC มีค่าไม่เกิน 7% ความรุนแรงของโรคไตอักเสบ อยู่ในเกณฑ์ปกติและสงบไม่ลุกลามจนไปทำลายเนื้อไตมากขึ้น ระดับ ความดันโลหิต ไม่ให้เกิน 130/80 มิลลิเมตรปรอท
2. การดูแลโรคหัวใจ ผู้เป็นโรคไตเรื้อรังมีโอกาสเกิดโรคหัวใจสูงกว่าผู้ไม่เป็น โรคไตหลายเท่า จึงควรตรวจเอกซเรย์ปอดและหัวใจ ตรวจคลื่นหัวใจและ ควรตรวจสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดตั้งแต่ต้นพร้อม ๆ ไปกับการดูแล รักษาโรคไต
3. การรักษาภาวะซีด แพทย์จะตรวจว่าภาวะซีดเกิดจากการขาดฮอร์โมน อิริโทรโพอิติน หรือขาดธาตุเหล็ก ก็จะให้การรักษาไปตามสาเหตุนั้น ๆ
4. การรักษาระดับไขมันในเลือด แพทย์จะตรวจระดับไขมันในเลือด ทั้ง โคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ เพื่อปรับพฤติกรรมการรับประทาน อาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยาลดระดับไขมันในเลือด เพื่อ ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว จนเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง ตามมาในภายหลังได้
5. การรักษาควบคุมระดับฟอสฟอรัสในอาหารเป็นที่ทราบกันดีว่า อาหาร เนื้อสัตว์ กาแฟ โกโก้ ขนมปัง ถั่วต่าง ๆ ตลอดจนพืชผักบางประเภท มี ฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบมาก ดังนั้น ถ้าไตเสื่อมหน้าที่ การกำจัด ฟอสฟอรัสจะลดลง มีผลทำให้ฟอสฟอรัสในเลือดสูง กระทบต่อระดับ แคลเซียม และพาราไทรอยด์ ฮอร์โมนในเลือด จนเกิดอันตรายต่อกระดูก และการตกตะกอนของหินปูนในหลอดเลือดหัวใจได้ ผู้เป็นโรคไตเรื้อรัง จึงควรได้รับคำแนะนำเรื่องอาหารที่ควรรับประทาน และได้รับยาลดฟอสฟอรัส ในเลือดร่วมกับวิตามินดีด้วย
การติดตามผลการรักษาผู้เป็นโรคไตเรื้อรัง นอกจากจะวัดความดันโลหิต ตรวจปัสสาวะ และตรวจเลือดดูหน้าที่ไม่เป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอแล้ว การดูแล คุณภาพชีวิตที่มีความสำคัญมาก ไม่ว่าเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย ที่เหมาะสม การเลือกใช้ยาที่ไม่รบกวนการทำงานของไต และการดำเนินชีวิต ประจำวัน การที่ไม่เครียด ยอมรับโรคไตที่เป็นอยู่ พร้อมรับคำแนะนำวิธีปฏิบัติตัว ที่เหมาะสมจากแพทย์ต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้หน้าที่ได้คงสภาพได้นาน ไม่ลุกลามเป็นมากขึ้น จนต้องไปทำไตเทียมเร็วเกินควรได้
ทําอย่างไรจึงจะชะลอการเสื่อมของไตได้ อย่างมีประสิทธิภาพ?
1. การรักษาขึ้นกับระยะของไตเรื้อรัง ในระยะต้นการใช้ยา ACEI (เอซีอีไอ) หรือ ARB (เอ อาร์ บี) จากแพทย์ผู้ดูแลตามดุลยพินิจของแพทย์ มีส่วนช่วยโรคไตเรื้อรังบางสาเหตุได้
2. วางแผนการรักษาโดยเฉพาะเรื่อง อาหาร น้ำดื่มอย่างถูกต้อง โดยไม่ เลียนแบบกับเพื่อนหรือผู้ป่วยอื่น เพราะจะไม่เหมือนกันทุกคน 3. รักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง อย่างเคร่งครัด
4. หลีกเลี่ยงสารพิษ หรือยา หรือสารทึบรังสีที่มีผลกระทบต่อการทำงาน ของไต
5. ทำจิตใจให้สงบยอมรับโรคที่เป็น ปฏิบัติตนตามคำแนะนำ และติดตาม การรักษาโดยสม่ำเสมอ ไม่ซื้อยาล้างไต ยาแผนโบราณ ยาหม้อ ที่ยังไม่มี การรับรองของสถาบันทางการแพทย์ และองค์การอาหารและยา ว่ามีประสิทธิภาพจริง เพื่อป้องกันสารพิษ และอันตรายจากสารเคมีที่อาจ มีผลเสียต่อร่างกาย ที่ทำให้ไตทำงานทรุดลงเร็วกว่าปกติ
6. มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า การสวดมนต์ทุกวันตามศาสนาที่ตนนับถือ และการนั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ความดันโลหิตลดลงได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ปฏิบัติ
7. การรับประทานอาหาร ผัก ควรเลือกที่มีฤทธิ์เย็น เช่น ผักกาดขาว ดอกขจร ใบเตย ตั้งโอ๋ ตำลึง บัวบก สายบัว ผักบุ้ง ปวยเล้ง มะรุม รางจืด ผักหวานบ้าน และเลือกอาหารโปรตีนที่มีฤทธิ์เย็น เช่น เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู ถั่วเขียว ลูกเดือย ถั่วเหลือง แต่ต้องอยู่ในดุลยพินิจ ของแพทย์ สำหรับโรคไตแต่ละระยะและปริมาณปัสสาวะด้วย
8. ส่วนผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นเหมาะแก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคไต เช่น ชมพู่ เชอรี่ แตงโม แตงไทย มังคุด มะม่วงดิบ น้ำมะนาว สับปะรด สตรอเบอรี่ สาลี่ ส้มเช้ง แอปเปิ้ล หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ขนุน ทุเรียน เงาะ น้อยหน่า ลำใย ลิ้นจี่ ลองกอง ละมุด สละ องุ่น กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ กระเจี๊ยบแดง เสาวรส
9. อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนไม่เหมาะแก่ผู้เป็นโรคไต ได้แก่ อาหารที่ปรุงเค็มจัด หวานจัด มันจัด เปรี้ยวจัด ขมจัด อาหารเนื้อ นม ไข่ ที่มีไขมันมาก พืช ผัก ผลไม้ที่มีสารเคมีมาก อาหารใส่ผงชูรส สมุนไพร เครื่องดื่ม แอลกอฮอลล์ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ของหมักดอง ขนม กรุบกรอบ ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง อาหารที่ผ่านความร้อนหลายครั้ง