เสียงหัวเราะเป็นยาที่ดีที่สุด
มีรายการหนึ่งทางทีวี เกี่ยวกับการฝึกหัวเราะ ว่าจะ ช่วยให้ผู้คนมีอายุยืนโดยมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง ตอนแรกก็ไม่ เข้าใจว่า เสียงหัวเราะจะมีอิทธิพลต่อการมีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุ ยืนยาวจริงหรือ
มาตอนนี้ปรากฏว่า คุณคาสุโอะ มูระกามิ นักพันธุกรรมชาว ญี่ปุ่น ด้วยวัย 70 ปี ได้ศึกษาในเรื่องนี้ และหาทางพิสูจน์ด้วยหลักฐาน ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อไขปริศนาให้เราได้เห็นคุณค่ามหาศาล ของการหัวเราะ ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้น และเสริมสร้างประสิทธิภาพใน การทำงานของยีน หรือหน่วยพันธุกรรมในร่างกายของมนุษย์ให้ทำงานได้ดีขึ้น
ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ต่อไปในการรักษาคนไข้ คุณหมอก็ อาจจะสั่งจ่าย “วีซีดีหรือดีวีดีตลก” ให้เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรค ก็ได้ ที่เขียนมานี้ ผู้อ่านอย่าเห็นเป็นเรื่องขำขัน หรือเป็นเรื่องตลก เพราะ ทุกวันนี้เทคโนโลยีหรือความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น นาโนเทคโนโลยี การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ ฯลฯ ซึ่งจะไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องใหม่ อีกต่อไป
ปรากฏว่า คุณมูระกามิ นักพันธุกรรมชาวญี่ปุ่น พบว่ายีนคนเรา เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตรงข้ามกับความเชื่อของคนทั่วไป ที่ว่ายีนจะไม่มีวัน เปลี่ยนแปลง นอกจากนั้นมียีนกว่า 90% ในร่างกายที่ไม่ค่อยทำงาน ผลิตโปรตีนต่างๆ เนื่องจากขาดการกระตุ้น
ตามสมมุติฐานเบื้องต้นที่มูระกามิคิดไว้คือ การหัวเราะอาจเป็น วิธีกระตุ้นอย่างหนึ่ง ที่สามารถไปกระตุ้นพลังงานภายในดีเอ็นเอ ให้มี ประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ ได้นั่นเอง
มูระกามิได้เริ่มศึกษาเพื่อหาประโยชน์อันมหาศาลที่อาจซ่อนอยู่ ในเสียงหัวเราะมาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว โดยร่วมกับบริษัทบันเทิงชั้นแนวหน้า ชื่อว่าโยชิโมโตะ โคเกียว จำกัด ได้ทำการทดลองภาคสนามครั้งแรกใน กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยนำทีมนักแสดงตลกชื่อดังไปแสดงให้ผู้ป่วยชม หลังจากที่ผู้ป่วยเหล่านั้นถูกจับให้นั่งฟังการบรรยายทางวิชาการที่ น่าเบื่อ ชวนหาวนอน
หลังจากทดลองอย่างที่ว่าเป็นเวลา 2 วัน ปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย อันเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน มีระดับลดลง หลังจากผู้ป่วยได้มีโอกาสหัวเราะแบบท้องคัดท้องแข็ง เมื่อเทียบกับ หลังไปนั่งฟังคำบรรยายทางวิชาการที่ชวนง่วงนอน
เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ในการทดลองครั้งล่าสุดของบริษัทดังกล่าว พบว่ามียืนอย่างน้อย 23 ยีน ที่มีการทำงานกระเตื้องขึ้น และในบรรดายีนเหล่านี้ มียีนอยู่ 18 ตัวที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายของคน เรา และผลการศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ และจิต วิทยาของสหรัฐอเมริกา
การบำบัดรักษาด้วยเสียงหัวเราะ ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่แน่ว่า ในอนาคตกันใกล้นี้ เราอาจเห็นคนป่วยนำใบสั่งยาที่ ออกโดยนายแพทย์ไปซื้อวิดีโอตลกที่ร้านขายยา อันเป็นส่วนหนึ่งของ การรักษาก็ได้
ถ้าหากมีการพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่า การหัวเราะ ความเกี่ยวพันกับสุขภาพจริง ก็อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าง ใหญ่หลวงในเรื่องการดูแลสุขภาพ
เมื่อก่อนหมอจะแนะนำให้คนไข้ออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้น อัตราการเต้นของหัวใจ และการหายใจ จะช่วยเพิ่มระดับออกซิเจน และ ลดระดับฮอร์โมนแห่งความเครียด และในปี 1980 เบิร์กสังเกตเห็น ว่าการหัวเราะก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาทำนองนี้ได้เช่นกัน
มีการทดลองโดยหาอาสาสมัครมา 10 คน ให้ดูวิดีโอตลกนาน 1 ชั่วโมง และมีการเก็บตัวอย่างเลือดทั้งก่อนดู ระหว่างที่ดู และหลังจากที่ ดูวิดีโอแล้ว พบว่าการหัวเราะได้ช่วยลด “คอร์ติซอล” ซึ่งเป็นสารเคมี แห่งความเครียดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผลการทดลองที่น่าทึ่งอีกครั้งหนึ่งที่กระทำในปี 2001 ได้มีการติดตามกลุ่มคนไข้โรคหัวใจ 2 กลุ่ม หลังหัวใจล้มเหลว 1 ปี กลุ่มหนึ่งจะ ให้ดูหนังตลกวันละ 30 นาที ควบคู่กับการรักษาทางยา ส่วนอีกกลุ่ม หนึ่งได้รับการรักษาทางยาเพียงอย่างเดียว เมื่อครบ 1 ปี ปรากฏว่า กลุ่มแรกที่หัวเราะทุกวัน มีความดันโลหิตต่ำกว่า ระดับฮอร์โมนแห่งความเครียดก็ต่ำกว่า อาการของหัวใจเต้นผิดจังหวะก็น้อยกว่า และเชื่อว่าการหัวเราะช่วยให้ปอดได้เคลื่อนไหวและโลหิตได้ไหลเวียนทั่วร่างกาย อาจสรุปได้ว่า การหัวเราะทำให้เราผ่อนคลาย และช่วยเอาชนะความ เจ็บป่วยได้ด้วย