มะเร็งเม็ดเลือดขาว
ลูคีเมีย หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือลูคีเมียชนิดเรื้อรัง เป็นชนิดที่มักพบได้ในรายที่มีอายุเกิน 55 ปีไปแล้ว จะไม่ค่อยเจอในรายที่อายุยังน้อย และลูคีเมียชนิดเฉียบพลัน ส่วน ใหญ่จะเกิดขึ้นได้บ่อยในรายที่อายุยังน้อย (เด็ก) แต่ก็มีบ้างเหมือนกัน ที่สามารถจะพบได้ในวัยผู้ใหญ่
สาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ตามธรรมชาติของร่างกายคนเรานั้น เซลล์ในไขกระดูกเป็นต้น กำเนิดของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด หากไขกระดูก มีการสร้างเม็ดเลือดขาวมากเกินไป และมีการแบ่งตัวมากขึ้นอย่าง ไม่อาจควบคุมได้ จนทำให้การสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด ผิดปกติ เกิดภาวะซีดตามมา และมีจุดเลือดออกกระจายตามร่างกาย เมื่อเกิดบาดแผลเลือดก็จะหยุดไหลยาก
- ผู้ที่ได้รับสารกัมมันตภาพรังสี หรือจากระเบิดปรมาณู (อย่าง เช่น ประชากรของประเทศญี่ปุ่น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2) หรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีฉายแสงจากการวินิจฉัยหรือรักษาโรคอื่นๆ บุคคลที่ทำงานในสถานที่ที่แวดล้อมไปด้วยสารเคมี อย่างเช่น Benzene และก๊าซไร้กลิ่นที่ใช้ทำน้ำยาฆ่าเชื้อและยากันเน่า
- ผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่างๆ ขณะที่ทำการบำบัดด้วยวิธีเคมีบำบัด หรือขณะที่ใช้ยาบำบัด ซึ่งยาบางชนิดจะเป็นตัวกระตุ้นให้การเกิดโรค ลูคีเมียได้
- Down Syndrome หรือความผิดปกติของยีน ก็อาจเป็นอีกสาเหตุ หนึ่งที่ทำให้เกิดโรค
- Human T-cell Leukemia Virus (HTLVI) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง แต่พบได้ไม่บ่อยนัก
- Myelodysplastic Syndrome เป็นกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาทางเลือด
อาการและสัญญาณอันตราย
ลูคีเมียแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ
1. ลูคีเมียชนิดเรื้อรัง ซึ่งชนิดนี้เป็นชนิดที่ผู้ป่วยไม่ค่อยมีอาการ ผิดปกติมากมาย แต่จะค่อยๆ ลุกลามไปทีละน้อย และจะทำให้อ่อนเพลีย ได้ง่าย
2. ลูคีเมียชนิดเฉียบพลัน จะพบว่าเม็ดเลือดขาวมีการทำงาน ผิดปกติอย่างมาก และระบบการทำงานที่ผิดปกติเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ลูคีเมียทั้งสองชนิดจะมีอาการหลักๆ โดยรวมคือ
- น้ำหนักลด
- เบื่ออาหาร
- อ่อนเพลียง่าย
- ปวดข้อ ปวดกระดูก
- ปวดศีรษะ
- มีเลือดตามร่างกาย
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอบวมโต
- ปวดศีรษะเป็นประจำ
- มีไข้สูงในเวลากลางคืน
การป้องกันและวินิจฉัย
- ไม่ควรทำงานในสถานที่ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว หรือ ถ้าหากว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรป้องกันตัวเองเพื่อให้เกิดความเสี่ยงน้อย ที่สุด
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนแอ
วิธีการดูแลรักษาด้วยหลักธรรมชาติบำบัด
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายให้ครบ 5 หมู่ เพิ่มการรับประทานผักผลไม้ ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ ในผักผลไม้มีวิตามิน และเกลือแร่สูงจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ดื่มน้ำส้มคั้น หรือน้ำมะเขือเทศ ผักโขม ฟักทอง ถั่ว อะโวคาโด แครอต ตับ แคนตาลูป เพียงแค่นี้คุณก็จะได้กรดโฟเลต (Folate) เพื่อ ช่วยให้ระบบเลือดของคุณทำงานเป็นปกติ
รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เพื่อช่วยให้เม็ดเลือดแดงทำงาน ดีขึ้น เช่น ตับ ผักโขม ตำลึง มะเขือพวง ดอกแค ถั่วเมล็ดแห้ง ผักใบเขียว เป็นต้น
เลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามิน บี3 (Niacin) จากธรรมชาติ เช่น ไก่งวง ข้าวกล้อง มะเขือเทศ ปลาแซลมอน ถั่วต้ม บร็อกโคลีต้ม แครอต ถั่วดำ
อาหารเสริม
กรดโฟเลต (Folate)
ช่วยสังเคราะห์การทำงานของ Homocysteine ไปสู่ Methionine ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ปริมาณที่ควรได้รับ 400 ไมโครกรัม/วัน เพื่อ ป้องกันภาวะเลือดจาง ป้องกันการเป็นมะเร็งได้
วิตามิน บี3 (Niacin)
ปริมาณที่ควรได้รับตั้งแต่อายุ 14 ปีขึ้นไป ผู้ชายควรได้รับ ปริมาณ 16 มิลลิกรัม/วัน สำหรับผู้หญิงควรได้รับปริมาณ 14 มิลลิกรัม/ วัน เพื่อช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
คําเตือน
ปริมาณที่ได้รับควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเท่านั้น
ปัจจัยและอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
ควรหลีกเลี่ยงการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล หรือพลังงาน สนามแม่เหล็ก
คําแนะนําพิเศษ
คนส่วนมากมักจะคิดว่าความเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่อง ไกลตัว จึงไม่ค่อยสนใจดูแลตนเองมากนัก แต่ก็อย่าได้ชะล่าใจ บางคน ที่เป็นโรคนี้ก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว จึงควรจะไป พบแพทย์ เพื่อที่แพทย์จะได้แนะนำและตรวจเช็กร่างกาย เพื่อที่จะหา ทางป้องกันต่อไป
สารอาหารเสริมที่ขอแนะนำ
Pollitin พอลลิติน เป็นสารสกัดธรรมชาติคุณภาพสูง 👉 จากอณูละอองเกสรดอกไม้ (Rye pollen extract ) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น NUTRACEUTICAL หรือ สารอาหารบำบัด พอลลิติน Pollitin มีการจำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลก ยาวนานกว่า 50 ปี
ขั้นตอนการผลิต เป็นไปตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก ได้รับค่า มาตรฐานเฉพาะผลิตภัณฑ์ระดับโลก คือ ORAC หรือ ค่าระดับความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระ และค่า CAP-e Test หรือ ค่าความสามารถในการดูดซึมเข้าสู่เม็ดเลือดแดง ที่สูงมาก ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีอยู่เกือบ 100%

👉นักวิจัยชาวสวีเดน ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า
ละอองเกสรดอกไม้ประกอบด้วย 👉สารที่มีความจำเป็นยิ่งยวด ในการสร้างชีวิตใหม่ในตระกูลของพืช และยังเป็น พื้นฐานในวัฏจักร ห่วงโซ่อาหาร ละอองเกสรดอกไม้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ประกอบด้วย สารอาหารหลากหลายชนิด รวมทั้งวิตามิน แร่ธาตุ, กรดอมิโน สารที่จำเป็นในการสังเคราะห์ อาร์ เอ็น เอ (RNA) และ ดี เอ็น เอ (DNA) สารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ, เอนไซม์, กรดไขมันอิ่มตัว, สารที่เป็นตัวตั้งต้น ในการสังเคราะห์โปรสตาแกรนติน
ดังนั้น ละอองเกสรจึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับใช้ เพื่อประโยชน์ในการทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์, มีฤทธิ์บรรเทาอาการอ่อนเพลีย, ช่วยลดอาการซึมเศร้า, ทำให้ความผิดปกติ ของระบบทางเดินอาหารถูกแก้ไขให้ดีขึ้น, มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด, มีคุณสมบัติในการป้องกัน และ ต่อต้านมะเร็งบางชนิด และมีผล เสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย
มีคุณประโยชน์ที่อุดมไปด้วย
✅ แร่ธาตุ
✅ วิตามิน
✅ กรดอะมิโน
✅ โพลาร์ลิพิด
✅ ฟลาโวนอยด์
✅ นิวทรัลลิพิด
✅ ไฟโตสเตอรอล
✅ กรดไขมัน