ปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิดมะเร็งลูกอัณฑะ
มะเร็งลูกอัณฑะเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้ชายอายุระหว่าง 15-35 ปี มีหลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งที่พบมากที่สุดคือมะเร็งที่ เกิดขึ้นกับเซลล์สร้างตัวอสุจิ ในสหรัฐอเมริกาจะพบผู้ป่วยที่เป็น มะเร็งลูกอัณฑะรายใหม่ ๆ ปีละประมาณ 6,000 ราย แต่อย่างไร ก็ตามหากผู้ป่วยพบเชื้อมะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ และได้รับการรักษา อย่างถูกวิธี อัตราการหายของโรคดังกล่าวจะมีมากถึงร้อยละ 96
มะเร็งลูกอัณฑะจะมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เกิดจาก เลื่อนต่ำลงของลูกอัณฑะ ชายชาวคอเคเซียน (Caucasian) จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากที่สุด ในขณะที่ชายชาวฮิสพานิก(Hispanics) เอเชียน (Asians) และชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native Americans) จะมีความเสี่ยงในระดับปานกลาง และชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน (African Americans) จะมีความเสี่ยงน้อยที่สุด ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ชายที่เป็นมะเร็งลูกอัณฑะจะมีบาดแผล ที่ลูกอัณฑะ อย่างไรก็ตามในขณะที่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า บาดแผลดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาไปเป็นมะเร็ง อัณฑะอย่างแน่นอนหรือไม่ พบว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่นำไปสู่การ เป็นโรค เช่น การเป็นโรคคางทูม ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของ ลูกอัณฑะ เด็กที่เกิดจากแม่ที่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือรังสีเอกซ์ในขณะตั้งครรภ์หรือในขณะคลอด และการมีอาการผิดปกติ บางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น
การตรวจหาและการป้องกันมะเร็งลูกอัณฑะ
ความเสี่ยงในการเป็นโรคจะมีมากขึ้นหากลูกอัณฑะมีการ เลื่อนต่ำลง ดังนั้นเด็กผู้ชายที่ประสบปัญหานี้ควรได้รับการผ่าตัด ที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะมีอายุครบ 3 ขวบ เนื่องจาก หากปล่อยเอาไว้จนอายุมากกว่านี้ ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจะเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามมะเร็งลูกอัณฑะสามารถรักษาให้หายขาด ได้หากถูกค้นพบตั้งแต่เนิ่น ๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจหา ความผิดปกติของลูกอัณฑะด้วยตัวเองทุก ๆ เดือน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งหากคุณอยู่ในกลุ่มของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสูง การตรวจหาเชื้อมะเร็งด้วยตัวเองทำได้โดยการลูบคลำลูกอัณฑะอย่างเบามือไปจนทั่วด้วยมือทั้งสอง โดยวางลูกอัณฑะไว้ระหว่าง นิ้วโป้งและนิ้วที่เหลือ จะดีอย่างยิ่งหากจะทำหลังจากอาบน้ำอุ่นเรียบร้อยแล้ว หากพบก้อนเนื้อแข็ง ๆ หรือปุ่มเล็ก ๆ ให้รีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

อาการของมะเร็งลูกอัณฑะ
ในช่วงต้นมะเร็งลูกอัณฑะจะไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ ออก มา แต่จะปรากฏก้อนเนื้อที่ไม่มีอาการเจ็บปวดที่ลูกอัณฑะ หรือ ลูกอัณฑะมีการขยายขนาดใหญ่มากกว่าเดิมเล็กน้อย ผู้ป่วยจะ ไม่รู้สึกเจ็บปวดจนกระทั่งโรคได้พัฒนามากขึ้นอย่างเงียบๆ แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหนึบๆ ที่ช่องท้องส่วนล่าง และขาหนีบ พร้อมกับความรู้สึกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาถ่วงที่ บริเวณดังกล่าว สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณอันตรายที่แสดงให้ผู้ป่วย ทราบว่าลูกอัณฑะของตนเริ่มมีความผิดปกติแล้ว