กินผักพื้นบ้านตามฤดูกาล
ภูมิปัญญาของคนไทยสมัยโบราณ ได้ถ่ายทอดสู่คน ยุคปัจจุบันอย่างน่าสนใจ การค้นพบผักพื้นบ้านใกล้ตัวว่า สามารถบริโภคเป็นอาหารและเป็นสมุนไพรในการบำบัด รักษาโรค เป็นที่ยอมรับของวงการการแพทย์ไทยและแพทย์ แผนโบราณ โดยสิ่งสําคัญสิ่งหนึ่งที่คนโบราณได้ถ่ายทอดไว้ ให้นั่นคือการรู้จักรับประทานผักพื้นบ้านให้สอดคล้องกับฤดูกาล ด้วยเพราะเล็งเห็นว่าฤดูกาลมีผลโดยตรงต่อระบบการทํางาน ภายในร่างกายมนุษย์ เนื่องจากฤดูกาลทำให้ภูมิอากาศรอบ ตัวเปลี่ยนไป ร่างกายของคนที่ประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่ เดิน น้ำ ลม ไฟ) จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับภูมิอากาศเหล่านั้น ด้วยเพื่อการดำรงชีพ ซึ่งหากร่างกายอ่อนแอหรือไม่สามารถ ปรับตัวได้ ก็อาจนําไปสู่การเกิดโรคภัยไข้เจ็บในที่สุดการบริโภคอาหารจึงมีส่วนสำคัญ เพื่อสร้างสมดุล และการปรับตัวให้กับร่างกาย โดยเฉพาะสารอาหารสำคัญ จากผักพื้นบ้านไทยหลายชนิด ซึ่งสามารถสร้างสุขภาพที่ดีให้ กับคนในแต่ละท้องถิ่นได้อย่างน่าทึ่ง ดังนั้นการเลือกบริโภค ผักพื้นบ้านต่างๆ จึงควรพิจารณาให้สอดคล้องกับฤดูกาล ดังนี้
1. ฤดูร้อน
เป็นช่วงที่มีอุณหภูมิร้อนเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายต้อง สัมผัสกับอากาศร้อน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพทำงานกลางแจ้ง หรือแม้แต่คนทํางานในออฟฟิศ ที่ร่างกายต้องสัมผัสอากาศ เย็นและร้อนสลับไปมา ก็อาจมีผลกระทบต่อธาตุน้ำและดิน ภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย
ในช่วงฤดูร้อนนี้ โรคภัยที่มักพบเห็นบ่อย เช่น ไข้ตัว ร้อน ความดันโลหิตสูง ลมชัก ปวดศีรษะ วิงเวียน กระหาย น้ำ อ่อนเพลีย ท้องผูก ซึ่งไม่นับรวมโรคติดต่อทางเดินอาหาร ที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ ในฤดูร้อนจึงควรทานผักพื้นบ้านที่มี รสหวานเย็น รสขม รสจืด รสเปรี้ยว ทำให้ธาตุดิน และ ดินภายในร่างกายปรับตัวได้ดี หลีกเลี่ยงการรับประทานผัก พื้นบ้านที่มีรสเผ็ด รสมัน เพราะจะยิ่งกระตุ้นธาตุไฟในร่างกาย ทำให้ลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกายเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ผักพื้นบ้านที่ควรรับประทานในฤดูร้อน คือ ผักที่เป็น ยาเย็น เช่น ฟักแม้ว มะระขี้นก ตำลึง บวบ ผักฮ้วนหมู ส้มป่อย ผักกูด ผักปลัง ชะอม ผักหวานป่า ผักหวานบ้าน และควรออกกำลังกายแต่พอดี หลังออกกำลังกาย ต้องพัก ให้ร่างกายได้ผ่อนคลายความร้อนสักระยะหนึ่งก่อน จึงค่อย อาบน้ำชำระร่างกาย เพื่อไม่ให้ร่างกายได้สัมผัสกับความเย็น โดยทันที พยายามทานผักและผลไม้ที่มีรสเย็นสม่ำเสมอจะ ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายความร้อน และเป็นผลดีต่อธาตุ ภายในร่างกายในช่วงฤดูร้อนนี้
2. ฤดูฝน
เป็นช่วงที่มีอุณหภูมิเย็นและชื้น เชื้อโรคหลายชนิด มากับลมฝนที่พัดผ่าน อากาศเย็นชื้นเช่นนี้จะมีผลต่อธาตุลม ในร่างกาย โรคที่พบบ่อยในช่วงฤดูฝน เช่น ไข้หวัด ไข้หวัด ใหญ่ คออักเสบ ไข้ตัวร้อน ปอดบวม ท้องอืด ท้องเฟ้อ รู้สึก เหนื่อยหน่ายไม่สบายตัว ในฤดูฝนจึงควรทานผักพื้นบ้านที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ใบกะเพรา พริกขี้หนู ใบโหระพา ยี่หร่า แมงลัก หูเสือ ผักไผ่ ผักคราด พลูคาว ขิง ข่า ตะไคร้ กะทือ กระเจียว เป็นต้น เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย และทำให้ระบบทางเดิน หายใจปลอดโปร่ง และดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียง พอ ระวังอย่าให้ศีรษะเปียกน้ำหรือได้รับความชื้นเป็นเวลานาน เมื่อโดนฝนควรรีบสระผมและเช็ดหรือเป่าให้แห้ง หากเริ่มรู้สึก จะเป็นไข้หวัดหรือมีน้ำมูก อาจดื่มน้ำขิงร้อนๆ จะช่วยบรรเทา ได้ดี ถ้าเป็นอาหารคาวอาจเป็นเมนูต้มยำน้ำใส ใส่ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกขี้หนู ทานร้อนๆ กับข้าวสวย

3. ฤดูหนาว
เป็นช่วงที่อุณหภูมิแห้งและหนาวเย็น ประเทศไทย อาจมีช่วงเวลาของฤดูหนาวสั้น เนื่องจากอยู่ในเขตร้อนชื้น แต่ เมื่อมีลมหนาวมาแต่ละครั้ง ก็หนาวเย็นอย่างเห็นได้ชัด อากาศ ที่หนาวเย็นจะมีผลธาตุน้ำในร่างกาย โรคที่พบบ่อยในช่วงฤดู หนาว เช่น ผิวหนังแห้งแตก ปากแห้งแตก ไข้หวัด ไข้หวัดนก ปอดบวม ไอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดกล้ามเนื้อ ท้องอืด ท้อง เฟ้อ อาหารไม่ย่อย
ในฤดูหนาวจึงควรทานผักพื้นบ้านที่มีรสเผ็ดร้อน รสขม หรือรสเปรี้ยว เพื่อให้ความอบอุ่นภายในร่างกาย เช่น ผักขม เมล็ดพริกไทย ข่า กระชาย ผักแพว ขมิ้น ผักไผ่ ผักติ้ว นอกจาก นี้ควรหมั่นออกกำลังกายให้เหงื่อออก สวมเสื้อผ้าให้รัดกุม ทาน อาหารที่ปรุงสุกและร้อน สำหรับการดูแลผิวในฤดูหนาว นอก จากการทานผักผลไม้เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้ว อาจ ทาครีมหรือโลชั่นร่วมด้วยเพื่อป้องกันผิวแห้งแตก ถ้าปฏิบัติ ได้เช่นนี้แล้วสุขภาพที่แข็งแรงในหน้าหนาวก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จะเห็นได้ว่าการทานผักพื้นบ้านให้สอดคล้องกับฤดูกาล เป็นผลดีต่อการสร้างสมดุลของธาตุต่างๆ ภายในร่างกาย นอก เหนือจากการได้รับสารอาหารหรือคุณค่าทางโภชนาการของ ผักแต่ละชนิด อย่างไรก็ตามเพื่อให้ร่างกายห่างไกลโรค ควร รู้จักทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคู่กับการออกกำลังกายเป็น ประจำ หลีกเลี่ยงความเครียด และยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ