โรคมะเร็งตับ
มะเร็งตับ (Liver cancer) เป็นโรคมะเร็งที่พบได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโรคมะเร็งที่เกิดในผู้ชายไทย และพบมากเป็นอันดับ 4 ของผู้ป่วยมะเร็งรวมทั้ง 2 เพศ มักพบในคนอายุ 30-70 ปี และพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2-3 เท่า โรคนี้จัดเป็นโรครุนแรงมาก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้มากที่สุดโรคหนึ่ง เพราะโรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่ค่อยแสดงอาการ ซึ่งผู้ป่วยกว่าจะได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกก็มักจะอยู่ในระยะท้ายของโรคซึ่งไม่มีทางรักษาให้หายได้แล้ว
ชนิดของโรคมะเร็งตับ
มะเร็งตับมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่มะเร็งตับแบบขั้นที่ 1 และ มะเร็งตับแบบขั้นที่ 2 มะเร็งตับขั้นที่ 1 เป็นเนื้องอกของเซลล์ มะเร็งที่พัฒนาขึ้นในตับ มะเร็งตับขั้นที่ 1 เป็นมะเร็งที่หายาก พบ เพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ของเนื้องอกอันตรายที่พบในผู้ป่วยแถบ อเมริกาเหนือ มะเร็งขั้นที่ 2 พบมากกว่าเนื้องอกแบบแรก ประมาณร้อยละ 20 เป็นผลมาจากการที่เซลล์มะเร็งที่เกิดใน อวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น เต้านมหรือปอด แล้วแพร่กระจาย ตัวเข้ามายังตับ มะเร็งตับแบบที่ 2 ยากที่จะตรวจพบ จนกว่ามัน ทําให้เกิดอาการผิดปกติขึ้นปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะร็งตับ
มะเร็งตับมีทั้งชนิดที่เกิดจากเนื้อเยื่อของตับเอง เรียกว่า "มะเร็งตับชนิดปฐมภูมิ" และชนิดที่เกิดจากการแพร่กระจายมาจากโรคมะเร็งชนิดอื่น เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งเต้านม ฯลฯ ซึ่งเรียกว่า "มะเร็งตับชนิดทุติยภูมิ" แต่ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะโรคมะเร็งชนิดที่เกิดจากเนื้อเยื่อของตับเองเท่านั้น ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อย ๆ จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ
- มะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular carcinoma - HCC) หมายถึง มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อตับ ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้เป็นส่วนใหญ่ประมาณ 75-80% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ สามารถพบได้ในทั่วทุกภาคของประเทศ มักพบในผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี (ทั้งที่เป็นพาหะและเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง), ผู้ป่วยตับแข็ง, ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเซลล์ตับ
- ไวรัสตับอักเสบบีหรือซี สามารถติดต่อได้ทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และการติดจากแม่ไปยังทารกในครรภ์ เมื่อเชื้อเข้าไปในเลือดแล้ว เชื้อไวรัสจะเข้าไปรวมตัวกันที่ตับทำให้ตับอักเสบ ส่วนจะมีอาการของโรคตับอักเสบหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน คือ บางคนแทบไม่มีอาการเลย พอเป็นแล้วก็หายได้เอง และมีภูมิต้านทานในตัว แต่บางคนพอเป็นแล้วเชื้อก็ไม่หายไปจากตัวและกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังหรือเป็นพาหะติดต่อผู้อื่นได้ พอตับอักเสบนาน ๆ เข้า เป็นระยะเวลา 10-20 ปี ก็จะทำให้เซลล์ตับเป็นพังผืด เหี่ยวลง จนอาจกลายเป็นโรคตับแข็ง ซึ่งบางเซลล์ในล้าน ๆ เซลล์อาจพัฒนาเป็นมะเร็งตับได้ แต่ก็มีบางรายที่เหมือนกับประเภทที่ตับอักเสบเรื้อรัง แต่ไม่มีตับแข็ง แล้วกลายเป็นมะเร็งตับได้เช่นกัน (ผู้ป่วยมะเร็งตับมักมีประวัติติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซีมาตั้งแต่เล็ก โดยมักติดมาจากแม่ในขณะตั้งครรภ์ และเมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคนอายุประมาณ 50-60 ปี ก็จะกลายเป็นมะเร็งตับ) ดังนั้น ในระหว่างที่มีการตรวจรักษาไวรัสตับอักเสบหรือโรคตับแข็ง แพทย์ก็มักจะตรวจเช็กเรื่องของมะเร็งตับไปด้วย
- มะเร็งท่อน้ำดีในตับ (Cholangiocarcinoma - CCA) หมายถึง มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุภายในท่อน้ำดีส่วนที่อยู่ภายในตับ (Biliary tree) ซึ่งพบร่วมกับโรคพยาธิใบไม้ตับ เป็นชนิดที่พบได้มากรองลงมา คือ ประมาณ 13% ของมะเร็งตับ ในประเทศไทยพบโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้มากทางภาคอีสาน โดยจะพบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิงเล็กน้อย และมักพบในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50-60 ปี คนทางภาคอีสานจะคุ้นเคยกับโรคนี้อันเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคพยาธิใบไม้ตับเป็นอย่างดี และเนื่องจากผู้ป่วยจะมีอาการตับโตเป็นสำคัญ จึงนิยมเรียกโรคนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า "โรคตับโต"
- โรคพยาธิใบไม้ตับ (Opisthorchiasis) จะพบได้มากทางภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งประชาชนบางส่วนนิยมรับประทานปลาดิบ ๆ และปลาร้า
- อื่น ๆ (พบได้น้อย) ได้แก่ มะเร็งตับชนิดเฮปาโตบลาสโตมา (Hepatoblastoma) ที่พบได้ในเด็ก, มะเร็งของหลอดเลือด (Angiosarcoma) พบได้มากในผู้ที่สัมผัสสารไวนิลคลอไรด์ (Vinyl chloride) ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก
มะเร็งตับเป็นโรคที่พบกันบ่อยครั้งในผู้ป่วยที่ชอบดื่มเครื่อง ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าคนที่ไม่ดื่ม มะเร็งตับมักเกิดกับคนที่เป็น โรคตับอักเสบชนิดบี โรคตับอักเสบชนิด โรคตับแข็ง และ อาการผิดปกติเรื้อรังที่เกิดขึ้นกับตับมากกว่าในคนที่ไม่เป็นโรคดังกล่าว ประมาณร้อยละ 50 และร้อยละ 70 ของโรคมะเร็งตับในสหรัฐอเมริกา มักพัฒนามาจากโรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับมักเกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่า ผู้หญิง และมักเกิดขึ้นกับคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
สาเหตุของโรคมะเร็งตับ
- มะเร็งเซลล์ตับ (HCC) พบว่าส่วนใหญ่มีสาเหตุสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี (ชนิดบีพบได้บ่อยกว่า) ผู้ป่วยตับแข็ง และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด นอกจากนี้ยังพบว่า สารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง (โดยเฉพาะถั่วลิสงบด) พริกแห้ง กระเทียม หัวหอม เต้าเจี้ยว ข้าวโพด ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ แหนม องุ่นแห้ง ปลาตากแห้ง มันสำปะหลัง ธัญพืชเปียกชื้นอื่น ๆ เป็นต้น ก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งชนิดนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นตัวเสริมให้เกิดมะเร็งเซลล์ตับในผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- มะเร็งท่อน้ำดีในตับ (CCA) พบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับแบบเรื้อรัง โดยเกิดจากพยาธิใบไม้ตับ (Opisthorchis viverrini) ซึ่งเป็นพยาธิที่มีอยู่ในปลาน้ำจืดตามหนองบึง เมื่อคนกินปลาแบบดิบ ๆ หรือปลาดิบ ๆ สุก ๆ ที่มีพยาธิชนิดนี้เข้าไป ตัวอ่อนของพยาธิก็จะเข้าไปเจริญเติบโตและอาศัยอยู่ที่ท่อน้ำดีในตับอย่างถาวร (สามารถอยู่ได้นานถึง 25 ปี) หากปล่อยไว้ไม่รักษาก็จะทำให้เกิดการอักเสบและความผิดปกติของตับ พอนาน ๆ เข้าเซลล์ท่อน้ำดีก็จะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งท่อน้ำดีในที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่า การได้รับสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารพิษที่พบได้ในอาหารจำพวกโปรตีนหมัก (เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม เป็นต้น), อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว (เช่น ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น) และอาหารรมควัน (เช่น ไส้กรอกรมควัน ปลารมควัน) ก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้ด้วย
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
- เพศ อายุ และถิ่นที่อยู่อาศัย โดยพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 2-3 เท่า มักพบในคนอายุ 30-70 ปี และพบโรคได้มากขึ้นในคนเหนือและอีสาน (จากมะเร็งท่อน้ำดี)
- ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี
- ดื่มแอลกอฮอล์จัด ตับแข็ง (โรคมะเร็งตับมักพบร่วมกับภาวะตับแข็งได้ค่อนข้างบ่อย ประมาณ 90-95% ในบางรายงาน ส่วนผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซีที่มีภาวะตับแข็งจะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ประมาณ 5% ต่อปี และผู้ป่วยตับแข็งจากแอลกอฮอล์จะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ประมาณ 1-4% ต่อปี ซึ่งแม้จะหยุดแอลกอฮอล์แล้วความเสี่ยงก็ไม่ได้ลดลง)
- การได้รับสารพิษอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารเป็นประจำ
- โรคทางพันธุกรรมและเมตาบอลิกต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งทำให้เกิดไขมันพอกในตับมาก ๆ และเป็นตับแข็งตามมา
- เป็นโรคพยาธิใบไม้ในตับจากการรับประทานปลาดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ
- การได้รับสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารพิษที่พบได้ในอาหารจำพวกโปรตีนหมัก อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว และอาหารรมควัน
- ท่อน้ำดีในตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งมักพบร่วมกับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง
- การได้รับยาหรือสารเคมีบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาฮอร์โมนเพศชาย (ใช้สำหรับรักษาโรคโลหิตจางหรือการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ), ยาคุมกำเนิด, สารไวนิลคลอไรด์ (Vinyl chloride), สารหนู, การสูบบุหรี่ เป็นต้น
อาการของมะเร็งตับ
อาการของมะเร็งตับมักคล้ายคลึงกับอาการของโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับตับ อันได้แก่ มีอาการปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่อง ท้อง น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร มีอาการปวด หรือบวมบริเวณช่องท้องด้านขวาช่วงบน มีอาการของโรคดีซ่าน (มีอาการผิวเหลืองและตาขาว)มะเร็งตับ ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการใด ๆ เลย (ยกเว้นในรายที่เป็นตับแข็งอยู่ก่อนที่จะมีอาการของโรคตับแข็ง) แต่เมื่อก้อนมะเร็งลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง จุกเสียดท้องคล้ายอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด (เพราะเคมีน้ำดีในตับบกพร่อง) ในบางรายอาจมีอาการปวดหรือเสียวชายโครงด้านขวาโดยไม่มีอาการอื่น ๆ แสดงชัดเจนก็ได้ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่เป็นสัปดาห์หรือนานเป็นเดือน โดยที่ผู้ป่วยอาจไม่ทันได้ใส่ใจ หรือคิดว่าเป็นอาการปวดยอดชายโครงหรืออาหารไม่ย่อยทั่วไป
เมื่อก้อนมะเร็งโตมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น รู้สึกแน่นอึดอัดที่บริเวณลิ้นปี่ทั้งวัน มีอาการปวดใต้ชายโครงด้านขวา (ตำแหน่งของตับ) ซึ่งอาจปวดร้าวไปที่ไหล่ขวาหรือใต้สะบักด้านขวา ผู้ป่วยจะเบื่ออาหารมากขึ้น (ไม่รู้สึกอยากอาหาร รับประทานไม่ค่อยได้ เนื่องจากมีน้ำในท้องกดหรือเบียดทับกระเพาะอาหาร) และน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วจนคนใกล้ชิดรู้สึกผิดสังเกต ในบางรายอาจมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม อาจคลำได้ก้อนที่ใต้ชายโครงขวา (ปกติจะคลำไม่ได้) ท้องบวมหรือเท้าบวมทั้ง 2 ข้าง หายใจเหนื่อยหอบ (เนื่องจากมีน้ำในท้องดัน กด หรือเบียดทับปอด) และอาจมีไข้ต่ำ ๆ ร่วมด้วย
นอกจากนี้ ในรายที่มีภาวะตับแข็งระยะท้ายร่วมด้วย ผู้ป่วยอาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ส่วนในรายที่มีภาวะอุดกั้นของทางเดินน้ำดี ซึ่งมักพบในโรคมะเร็งท่อน้ำดี (CCA) ผู้ป่วยจะมีอาการตาและตัวเหลืองจัด คันตามตัว อุจจาระสีซีด
ระยะของโรคมะเร็งตับ
การแบ่งระยะของโรคมะเร็งตับมีได้หลายแบบ แต่ในภาพรวมจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ เช่นเดียวกับโรคมะเร็งชนิดอื่น ๆ ได้แก่
- ระยะที่ 1 ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กและมีเพียงก้อนเดียว
- ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งมีการลุกลามเข้าสู่หลอดเลือดในตับ และ/หรือมีก้อนมะเร็งหลายก้อน แต่ยังมีขนาดเล็กอยู่
- ระยะที่ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดโตมาก และ/หรือมีการลุกลามเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียงตับ และ/หรือลุกลามเข้าหลอดเลือดดำใหญ่ในท้อง และ/หรือลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ตับ
- ระยะที่ 4 โรคมะเร็งแพร่กระจายตามกระแสเลือด มักเข้าสู่ตับกลีบอื่น ๆ และปอด แต่อาจเข้าสู่อวัยวะอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น สมอง กระดูก หรือต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลออกไปจากตับ (เช่น ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องหรือบริเวณไหปลาร้า)
วิธีรักษาโรคมะเร็งตับ
แนวทางในการรักษาโรคนี้จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ขนาดและลักษณะของก้อนมะเร็ง ระยะของโรคและการแพร่กระจายของมะเร็ง รวมไปถึงอายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยในแต่ละราย (ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิดและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างจริงจัง)
- การผ่าตัด (Surgical resection) เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งตับที่ไม่เป็นโรคตับแข็ง และมีก้อนมะเร็งขนาดไม่ใหญ่เกินไป ไม่มีการกัดกินหลอดเลือดดำ หรือมะเร็งอยู่เฉพาะที่ตับและไม่มีการกระจายออกไปนอกตับ สำหรับประเทศไทยโอกาสที่จะผ่าตัดก้อนมะเร็งให้ออกหมดได้นั้นมีเพียง 4.5-10.2% เท่านั้น เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการอยู่ระยะลุกลามและไม่สามารถตัดก้อนมะเร็งออกได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาจะดีหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพการทำงานของตับในส่วนที่ไม่เป็นมะเร็งด้วย โดยพบว่าหากมะเร็งเป็นก้อนเดี่ยวและการทำงานของตับยังดีอยู่ ผู้ป่วยจะมีโอกาสรอดชีวิตที่ 5 ปี ได้ถึง 60-70% (การพิจารณาให้การผ่าตัด แพทย์จะไม่เพียงแค่พิจารณาว่าจะผ่าเอาก้อนมะเร็งออกได้สำเร็จหรือไม่เท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาด้วยว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากการผ่าเอาก้อนมะเร็งนี้ออก เพราะจากการศึกษาในอดีตก็พบว่ามีผู้ป่วยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่มากนักที่ผ่าตัดแล้วจะดีกว่าการรักษาอื่น ๆ จริง นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาในเรื่องของความเสี่ยงของการดมยาสลบ การพักฟื้นหลังผ่าตัด โรคประจำตัวต่าง ๆ ของผู้ป่วย ค่าใช้จ่าย และประสบการณ์หรือฝีมือของศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดด้วย)
- การปลูกถ่ายตับ (Liver transplantation) เป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาโรคมะเร็งตับ แต่เป็นวิธีที่ยุ่งยากและต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์พอสมควร โดยวิธีการนี้จะเป็นทางเลือกแรกสำหรับผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งเดี่ยวขนาดเล็กกว่าหรือเท่ากับ 5 เซนติเมตร หรือในผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งขนาดเล็กหลายก้อน (ไม่เกิน 3 ก้อน และแต่ละก้อนมีขนาดเล็กกว่าหรือเท่ากับ 3 เซนติเมตร) และผู้ป่วยต้องมีอายุน้อยกว่า 70 ปี ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยจะมีโอกาสรอดชีวิตที่ 5 ปี ประมาณ 70% โดยมีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำกว่า 15% แต่มีข้อเสียคือ ผู้ที่จะบริจาคตับยังมีไม่เพียงพอ ซึ่งแพทย์มักจะให้การรักษาในรูปแบบอื่นไปก่อนในระหว่างที่รอตับของผู้บริจาคเพื่อป้องกันการลุกลามของโรค
ถ้าตรวจพบมะเร็งตับระยะท้าย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ตรวจพบเมื่อแสดงอาการชัดเจนแล้ว มักจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ และโดยเฉลี่ยผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 6-12 เดือน (แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่ดี ได้รับกำลังใจ ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ ก็อาจมีชีวิตที่มีคุณภาพ และอยู่ได้ยืนยาวหลายปี) ซึ่งการรักษานั้นจะมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อควบคุมอาการของผู้ป่วยให้ทรงตัวได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีและอาจต้องใช้ร่วมกันหลายวิธี เช่น
- การรักษาแบบประคับประคองไปตามอาการ (Palliative care) เพื่อลดอันตรายและเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การให้ยาบรรเทาอาการปวด ให้เลือดในรายที่มีเลือดออก การใส่ท่อระบายน้ำดีในรายที่ภาวะอุดกั้นของทางเดินน้ำดีเพื่อบรรเทาอาการคันและดีซ่าน เป็นต้น
- การให้ยาเคมีบำบัด (Cancer chemotherapy) หรือที่นิยมเรียกกันว่า "ยาต้านมะเร็ง" หรือ "ยาคีโม" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เซลล์มะเร็งตายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโต แต่พบว่าผลการรักษาด้วยวิธีนี้ยังให้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะผู้ป่วยมักมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนหลังการรักษา
- การตัดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณก้อนมะเร็ง (Hepatic devascularization) เป็นการอาศัยหลักการที่ว่ามะเร็งจะได้รับเลือดเกือบทั้งหมดมาจากหลอดเลือดแดง Hepatic ดังนั้นการผูก (Ligation) หรือการอุด (Embolization) โดยการฉีดสาร Embolic เข้าในหลอดเลือดแดง ก็จะทำให้ก้อนมะเร็งนั้นขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงจนกระทั่งเซลล์มะเร็งตายไป
- การรักษามะเร็งด้วยเข็มความร้อน (Radiofrequency ablation - RFA) เป็นวิธีที่เหมาะกับก้อนมะเร็งตับที่มีขนาดเล็กกว่า 4-5 เซนติเมตร ที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด (อาจเพราะผู้ป่วยมีภาวะตับแข็งหรือภาวะตับอักเสบร่วมด้วย) หรืออาจใช้เป็นการรักษาร่วมกับการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด เป็นต้น โดยจะเป็นการสอดเข็มขนาดเล็กเข้าไปในตับโดยให้ปลายเข็มวางอยู่ตำแหน่งของก้อนมะเร็ง (อาศัยการนำทางด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์) จากนั้นจะส่งพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (Radio frequency) ผ่านเข็มเข้าสู่ก้อนมะเร็ง ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนภายในตัวก้อนมะเร็ง (ความร้อนที่ใช้อาจสูงถึง 50-100 องศาเซลเซียส และใช้เวลาประมาณ 20-40 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดและจำนวนของก้อนมะเร็ง) มีผลให้ก้อนมะเร็งตายลงทันที
- การฉีดยาต้านมะเร็งและสารอุดตันเข้าหลอดเลือดแดงที่เข้าไปเลี้ยงก้อนมะเร็งให้ยุบลง (Chemoembolization)
- การฉีดสารกัมมันตภาพรังสี (Selective internal radiation therapy - SIRT หรือ Radioembolization) เป็นการรักษาแบบใหม่ที่เหมาะกับมะเร็งตับที่มีการลุกลามเข้าไปในหลอดเลือดดำของตับ (แต่ตับยังพอใช้ได้อยู่) โดยมีหลักการคล้ายกับ TOCE คือมีการสอดสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงของตับที่เลี้ยงก้อนมะเร็ง แล้วทำการฉีดสารกัมมันตภาพรังสีที่เรียกว่า "อิตเทรียม" (Yttrium) เข้าไป ซึ่งสารดังกล่าวจะเปล่งรังสีชนิดเบต้าตรงก้อนมะเร็งและออกฤทธิ์ในช่วงไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นก็จะสลายตัวไปเองโดยไม่มีการตกค้างอยู่ในร่างกาย แต่การรักษาด้วยวิธีนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
- การฉายรังสี หรือ รังสีรักษา (Radiation therapy) ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา
- อิมมูนบำบัด (Immunotherapy) เป็นการให้ยากระตุ้น T cell ซึ่งอาจช่วยในการส่งเสริมให้ร่างกายผู้ป่วยสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ โดยยาที่นำมาใช้ ได้แก่ เลวาไมโซล (Levamisole), วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG) แต่จากรายงานไม่พบว่าการรักษาได้ผลที่เด่นชัด ในปัจจุบันจึงไม่ใช้เป็นวิธีการรักษาหลัก นอกจากจะใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ
- ฮอร์โมนบำบัด (Hormone therapy) มีหลายรายงานที่ระบุว่า เอสโตรเจน (Estrogen) มีบทบาทต่อพยาธิกำเนิดในความผิดปกติของ Liver cell proliferation เนื่องจากมีรายงานการตรวจพบ Estrogen receptor ในเนื้อตับมะเร็งตับโดยที่ไม่พบ Progesterone receptor จึงเชื่อว่า Estrogen นั้นจะไปกระตุ้น Estrogen receptor ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการแบ่งตัวของเซลล์ แพทย์จึงได้นำหลักการนี้มาใช้ในการรักษามะเร็งตับ
- การฉีดแอลกอฮอล์เข้าก้อนมะเร็งโดยผ่านทางผิวหนัง (Percutaneous ethanol injection - PEI) เป็นการรักษาโดยการฉีดเอทานอล (Ethanol) เข้าไปในก้อนมะเร็ง โดยเอทานอลนี้จะทำให้เนื้อเยื่อที่เป็นมะเร็งถูกทำลายเป็นเนื้อตาย นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการรักษามะเร็งก้อนเล็กที่ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกได้
- การใช้ยารักษาตรงเป้า (Targeted therapy) เป็นการรักษาโดยการใช้ยาต้านมะเร็งที่มีฤทธิ์ต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอย่างจำเพาะเจาะจง
วิธีป้องกันโรคมะเร็งตับ
- ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์จัด เพราะอาจทำให้เป็นโรคตับแข็งและกลายเป็นมะเร็งตับได้
- ผู้ที่เป็นพาหะหรือเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ต้องงดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและตรวจหามะเร็งตับระยะแรกทุก ๆ 6 เดือน เพราะหากตรวจพบแพทย์จะได้ให้การรักษาให้หายขาดได้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) เช่น ถั่วลิสงบด ข้าวโพด หัวหอม พริกแห้ง กระเทียมที่มีราขึ้น เพราะสารพิษชนิดนี้มีความทนทานต่อความร้อน ไม่ถูกทำลายได้ง่ายแม้จะปรุงอาหารด้วยความร้อนก็ตาม
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) เช่น อาหารจำพวกโปรตีนหมัก (เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม เป็นต้น), อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว (เช่น ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น) และอาหารรมควัน (เช่น ปลารมควัน) แต่หากจะรับประทานควรทำให้สุกเสียก่อน เพราะสารนี้ถูกทำลายได้ด้วยความร้อน
- ไม่รับประทานปลาน้ำจืดแบบดิบ ๆ และถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคพยาธิใบไม้ตับ (แม้ว่าในปัจจุบันจะมียาที่ใช้ฆ่าพยาธิใบไม้ตับอย่างได้ผลแล้วก็ตาม แต่ถ้ายังไม่เลิกการรับประทานปลาแบบดิบ ๆ และถ่ายกลางทุ่ง ก็ยังคงติดโรคพยาธิได้ซ้ำ ๆ เรื่อยไปอยู่ดี) และผู้ที่อยู่ในถิ่นระบาดของโรคพยาธิใบไม้ตับหรือเป็นผู้ที่นิยมรับประทานปลาน้ำจืดแบบดิบ ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับการตรวจอุจจาระเพื่อตรวจหาไข่ของพยาธิใบไม้ตับ (ความถี่ในการตรวจนั้นขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์) ถ้าพบว่าเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ ควรรีบรักษาให้หายขาด ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาโรคให้หายก่อนที่จะเกิดอาการของท่อน้ำดีอักเสบซึ่งอาจกลายเป็นโรคมะเร็งของเซลล์ท่อน้ำดีได้
- ควรมีมาตรการในการป้องกันสารเคมีต่าง ๆ ทั้งในผู้บริโภคและคนงานมิให้ได้รับสารเคมีเหล่านี้ เช่น สารหนู สารไวนิลคลอไรด์ (Vinyl chloride) เป็นต้น
- ควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกเกิดให้แก่เด็กทุกราย รวมทั้งให้ความแก่ประชาชนถึงวิธีการติดต่อของไวรัสตับอักเสบบีและซี
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐานโดยการปฏิบัติตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงและลดโอกาสการติดเชื้อโรคต่าง ๆ
- รีบไปพบแพทย์เสมอเมื่อมีอาการผิดปกติดังกล่าว หรือเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับทั้ง 2 ชนิด
ขอบคุณข้อมูลจาก medthai.com