ไตวาย
ไตวาย (Kidney Failure หรือ Renal Failure) คือ ภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียออกจากเลือด ผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยง่าย มึนงง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการบวมที่ขาหรือเท้า ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถขับของเสียและน้ำออกมาผ่านทางปัสสาวะได้ จึงทำให้เกิดของเสียและน้ำตกค้างในร่างกาย ไตวายมี 2 ชนิดคือ
1. ไตวายเฉียบพลัน
ภาวะไตวายเฉียบพลัน เป็นภาวะที่เกิดจากการทำงานของไตผิดปกติ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะเกิดอันตรายและผลแทรกซ้อนแก่ผู้ป่วยได้
ภาวะไตวายเฉียบพลัน คือ ภาวะที่มีการสูญเสียการทำงานของไตในช่วงเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน เป็นผลให้เกิดการคั่งของของเสียและการควบคุมสมดุลกรดด่าง รวมทั้งปริมาณน้ำและเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ การใช้คำว่า “เฉียบพลัน” นอกจากบ่งถึงช่วงเวลาระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ยังบ่งถึงความเป็นไปได้ที่ไตจะกลับสู่ภาวะปกติได้
สาเหตุของภาวะไตวายเฉียบพลัน
มีได้หลายสาเหตุ ได้แก่
1. ความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตต่ำจนเกิดภาวะช็อก ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการติดเชื้อเสียเลือดจำนวนมาก หรือขาดน้ำอย่างรุนแรงจากท้องเสีย ผู้ป่วยไข้เลือดออกในภาวะช็อก หรือภาวะหัวใจวาย เป็นต้น
2. การได้ยาหรือสารพิษต่อไต ยาที่พบบ่อย ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวดชนิด (NSAIDS) ยาชุด ยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการได้รับสารทึบแสง ซึ่งยาเหล่านี้มีผลต่อการทำงานของไต โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะไตเสื่อมอยู่เดิม อาจทำให้มีภาวะไตวายเฉียบพลันซ้ำซ้อนได้
3. ภาวะไตอักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากโรคของโกลเมอรูลัส (glomerular disease) หรือจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจเกิดที่ไตเองหรือบริเวณอื่นของร่างกายก็ได้
4. การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
ส่วนอาการของผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายเฉียบพลัน ส่วนใหญ่จะรู้สึกกระหายน้ำ ปัสสาวะน้อยกว่า 400 ซีซีต่อวัน น้อยกว่าคนปกติ 3 เท่า อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนจากการที่มีของเสียสะสมในร่างกาย หายใจลำบาก แขนขาบวม หอบ เหนื่อยจากการคั่งของสารน้ำในร่างกาย หากภาวะไตวายเฉียบพลันนั้นมีสาเหตุมาจากภาวะขาดน้ำอาจมีอาการแสดงของภาวะขาดน้ำ อาทิ เหนื่อยง่ายหรืออ่อนเพลีย
วิธีการรักษา โรคนี้มีการรักษาหลายวิธีด้วยกัน ได้แก่
วิธีที่ 1 แพทย์จะทำการรักษาโดยการหาสาเหตุและรีบทำการรักษาที่ต้นเหตุ เพื่อให้ไตสามารถกลับมาทำงานได้เป็นปกติโดยเร็ว และป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น การหยุดยาที่เป็นสาเหตุ แก้ไขภาวะช็อกและการให้สารน้ำในรายที่มีการขาดสารน้ำ
วิธีที่ 2 แพทย์จะทำการรักษาแบบประคับประคองและรักษาโรคแทรกซ้อน ได้แก่ การควบคุมปริมาณน้ำเข้าออกร่างกายให้สมดุล หลีกเลี่ยงยาที่มีพิษต่อไต รวมทั้งปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับการทำงานของไตที่ลดลง แก้ไขสมดุลกรดด่าง ภาวะเกลือแร่ที่ผิดปกติในร่างกาย เป็นต้น
วิธีที่ 3 การให้สารอาหาร พลังงานและปริมาณโปรตีนให้เหมาะสม
และวิธีสุดท้าย คือ การบำบัดทดแทนไต (dialysis) ตามข้อบ่งชี้ เช่น ภาวะที่มีโปแตสเซียมในเลือดสูง ซึ่งหากหาสาเหตุและแก้ปัญหาได้ส่วนใหญ่จะกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ หากรับการรักษาล่าช้าก็จะทำให้กลายเป็นภาวะไตวายเรื้อรังได้
สำหรับผู้ป่วย การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาและสมุนไพรโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ และควรตรวจสุขภาพประจำปี หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ หากมีอาการที่น่าสงสัยให้รีบมาพบแพทย์ การรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถทำให้หายกลับมาเป็นปกติได้
2. ไตวายเรื้อรัง
ไตวายเรื้อรัง คืออะไร
ไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่มีการทำลายเนื้อไตช้าๆ อย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาหนานเป็นเดือนหรือเป็นปี เป็นการทำลายถาวร ทำให้ไตค่อยๆ มีขนาดเล็กลง ไตไม่สามารถฟื้นมาทำหน้าที่ได้ปกติ ดูได้จากค่าอัตราการกรองของไตที่ผิดปกติ มากกว่า 3 เดือน ขึ้นไป
ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง มักไม่ค่อยปรากฏอาการ เนื่องจากไตเป็นอวัยวะที่มีความสามารถพิเศษ ในการปรับการทำงานให้สมดุล แม้ว่าจะเหลือการทำงานเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ของปกติ
ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษา ไตจะเสื่อมลงจนเข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีของเสียคั่งในกระแสเลือด ต้องรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต เช่น การฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้องในที่สุด
สาเหตุและผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดไตวายเรื้อรัง
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่ได้รับยาหรือสารบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ชนิดที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ (NSAIDs) , ยาชุด, ยาหม้อ, สารทึบรังสี
- ผู้ป่วยโรคไตอักเสบชนิดต่างๆ เช่น โรคเอสแอลอี (SLE)
- ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไตวายเรื้อรัง หรือมีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำในไต
- ผู้ที่ตรวจพบนิ่วในไต
- ผู้ที่ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะหลายครั้ง
- ผู้ป่วยโรคอ้วน
- ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
อาการแสดงเมื่อเป็นโรคไต
- ขาและเท้าบวม กดบุ๋ม หนังตาและหน้าบวม
- ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเป็นฟอง, ปัสสาวะเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ, ปัสสาวะบ่อย เช่น ตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางคืนมากกว่า 1 ครั้ง, ปัสสาวะออกน้อยลง
- ซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย คันตามตัว เบื่ออาหาร
- ความดันโลหิตสูง
ป้องกันอย่างไร ไม่ให้เป็นไตวายเรื้อรัง
- สาเหตุของไตวายเรื้อรังหลายอย่าง สามารถป้องกันได้ หากได้รับการรักษาในระยะแรก เช่น การควบคุมเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ให้อยู่ในเกณฑ์ดี
- ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง รวมถึงการตรวจปัสสาวะ และตรวจเลือด
- เลี่ยงการกินอาหารรสเค็ม
- เลี่ยงการใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น
- ยาแก้ปวด ชนิดที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ (NSAIDs), ยาชุด, ยาหม้อ
- ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น เจนตามัยซิน, คานามัยซิน
- เลี่ยงการใช้สารทึบรังสีโดยไม่จำเป็น
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลศิครินทร์ และ si.mahidol.ac.th